วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เครื่องดนตรีสากลประเภทต่างๆ


เครื่องดนตรีสากลประเภทเครื่องสาย





1. ไวโอลิน คือ เครื่องดนตรีที่กำเนิดเสียงในระดับสูงมีทั้งหมด 4 ชนิด คือ ไวโอลิน วิโอลา เชโล และดับเบิลเบส เครื่องดนตรีในตระกูลไวโอลิน คือ เครื่องดนตรีหลักที่ใช้ในวงออร์เคสตร้า ลำตัวไวโอลินทำด้วยไม้ มี 4 สาย ตั้งเสียงต่างกันในระดับคู่ 5 (G , D , A และ E) ปกติจะเล่นโดยใช้คันชักสีที่สายให้สั่นสะเทือน แต่บางครั้งก็จะใช้นิ้วดีด เพื่อให้เกิดเสียงสั่น ไวโอลินจะต้องวางบนไหล่ข้างซ้ายของผู้เล่น แล้วใช้คางหนีบไว้ไม่ให้เคลื่อนที่ มือขวาของผู้เล่นใช้สีสายไวโอลินด้วยคันชัก โดยทั่ว ๆ ไปคันชักจะทำด้วยหางม้า




2. กีตาร์ (Guitar) กีตาร์ คือ เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย เล่นโดยวิธีการดีด เกี่ยว ดึง หรือ กรีด ลงบนสายกีตาร์ อาจใช้นิ้ว หรือ เพล็คทรัมก็ได้ กล่องเสียงของกีตาร์มีลักษณะคล้ายไวโอลินขนาดใหญ่ คอยาว มีเฟลทโลหะคั่นอยู่ มี 6 สาย และมีหมุดยึดสายที่ปลายคอกีตาร์ สายชองกีตาร์มีทั้งที่ทำด้วยโลหะเเละไนล่อน


เครื่องดนตรีสากลประเภทเครื่องลมไม้





1. คลาริเนต เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องลมไม้ ใช้ลิ้นเดียว ปี่คลาริเนตในระดับเสียงบีแฟล็ตได้ถูกใช้เป็นตัวแทนเมื่อมีการกล่าวถึงปี่คลาริเนตเสมอ คลาริเนตมีใช้อยู่หลายชนิด เช่น บีแฟล็ต คลาริเนต เบส คลาริเนต อีแฟล็ต คลาริเนต เป็นต้น ลำตัวปี่ คลาริเนตทำด้วยโลหะและไม้ หรือบางครั้งก็ทำด้วยยางหรือพลาสติก ลำตัวปี่กลวง เปลี่ยนระดับเสียงโดยใช้นิ้วและคีย์โลหะบุนวมปิดเกิดรู ปี่ คลาริเนตมีรูปร่างคล้ายกับปี่โอโบ แตกต่างกันที่ปากเป่า (กำพวด)คุณภาพเสียงของปี่ คลาริเนต มีช่วงเสียงกว้างและทุ้มลึกมีนิ้วพิเศษที่ทำเสียงได้สูงมากเป็นพิเศษ





2. แซ็กโซโฟน ใช้กำพวดที่มีลิ้นเดียว เหมือนอย่างปี่คลาริเนตแต่ลำตัวจะเป็นทรงกรวยเหมือนโอโบ ลำตัวทำด้วยโลหะเหมือนเครื่องทองเหลือง ปากลำโพงเค้งงอย้อนขึ้นมา แซ็กโซโฟนขนาดเล็กให้เสียงสูง ขนาดใหญ่ให้เสียงต่ำ เสียงของ แซ็กโซโฟนเป็นลักษณะผสมผสานมีทั้งความพลิ้วไหว ความกลมกล่อมและความเข้มแข็งปะปนกัน





3. ฟลุท คือ ขลุ่ยชนิดหนึ่งเป็นเครื่องดนตรีอยู่ในกลุ่มเครื่องลมไม้ ฟลุทมีท่อกลวงเกิดเสียงโดยการเป่าลมผ่านส่วนปากเป่า ผู้เล่นต้องถือฟลุทให้ขนานกับพื้น ฟลุทในระยะแรกทำด้วยไม้ ปัจจุบันฟลุททำด้วยโลหะผสม คุณภาพเสียงของฟลุทในระดับสูงมีเสียงแจ่มใสเป่าเสียงในระดับสูงได้ดี เสียงในระดับต่ำมีความนุ่มนวล เหมาะสำหรับใช้บรรเลงเดี่ยวบรรเลงทำนองหลักของบทเพลง และบรรเลงทำนองสอดแทรกต่าง ๆ ในระดับเสียงสูง




4. ปิคโคโล คือ เครื่องดนตรีในกลุ่มเครื่องลมไม้ เป็นเครื่องดนตรีในตระกูลฟลุท วิธีการเป่าจึงเหมือนกับการเป่าฟลุท ปิคโคโลมีระดับเสียงสูงกว่าฟลุทอยู่ 1ช่วงคู่แปด มีขนาดเล็กกว่าฟลุท 4 เท่า จึงทำให้มีคุณภาพเสียงที่สดใสและแหลมมาก เสียงในระดับต่ำของปิคโคโลจะดังไม่ชัดเจน ปิคโคโลจึงเหมาะที่จะใช้ในการเล่นในระดับเสียงกลางและเสียงสูงมากกว่าในระดับเสียงต่ำ

เครื่องดนตรีสากลประเภทเครื่องลมทองเหลือง




1. ทรัมเป็ท คือ เครื่องดนตรีที่จัดอยู่ในประเภทเครื่องลมทองเหลืองกำพวดสำหรับเป่ามีลักษณะเป็นท่อโลหะบานตรงปลาย คล้ายรูปถ้วย ท่อลมทรัมเป็ทด้านปลายท่อ บานออกเป็นลำโพง เพื่อขยายเสียงให้ดัง ทรัมเป็ทมีลูกสูบ 3ลูกสูบสำหรับเปลี่ยนความสั้นยาวของท่อลม เพื่อเปลี่ยนระดับเสียงดนตรีที่เกิดขึ้น บางครั้งกดเดียง 1 นิ้ว บางครั้ง 2 นิ้ว หรือ 3 นิ้วพร้อมกันเป่าโดยเม้มริมฝีปาก แล้วทำให้ริมฝีปากสั่นสะเทือนในกำพวด เสียงของทรัมเป็ทเป็นเสียงที่มีพังและดังเจิดจ้า ในบทเพลงต่าง ๆ




2. ทูบา คือเครื่องดนตรีประเภทเครื่องลมทองเหลืองที่มีระดับเสียงต่ำสุด เครื่องเป่าทองเหลืองที่มีระดับเสียงต่ำเช่นเดียวกับทูบามีอีกจำนวนหนึ่ง เช่น บาริโทน ยูโฟเนียม และซูซาโฟน ทูบามีพัฒนาการมาจากการเป่าเขาสัตว์และการเป่าสังข์ ท่อลมของทูบามีลักษณะค่อย ๆ บานออก ส่วนตรงปลายท่อ บานเป็นลำโพง กำพวดเป็นโลหะรูปถ้วย มีลูกสูบ 3 หรือ 4 ลูกสูบ ทูบามีทั้งในระดับเสียงอีแฟล็ต และบีแฟล็ต






3. ยูโฟเนียม คือ เครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าทองเหลือง ลักษณะเสียงของยูโฟเนียมจะนุ่มนวล ทุ้มลึก และมีความหนักแน่นมาก สามารถเล่นในระดับเสียงต่ำได้ดี บางครั้งนำไปใช้ในวงออร์เคสตร้าแทนทูบา คำว่า”ยูโฟเนียม” มาจากภาษากรีกหมายถึง ”เสียงดี” ลักษณะทั่วไปของยูโฟเนียมเหมือนกับเครื่องเป่าทองเหลืองทั่วไป จะมีลูกสูบ 3 – 4 ลูกสูบมีกำพวดเป็นรูปถ้วย ท่อลมกลวงบานปลายเป็นลำโพงเสียง มีเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งชื่อ “บาริโทน” มีเสียงใกล้เคียงกับยูโฟเนียม แต่ท่อลมมีขนาดเล็กกว่า เสียงของบาริโทนจะมีความห้าวมากกว่ายูโฟเนียม พบว่าบ่อยครั้งที่มีการเรียกชื่อสลับกันระหว่างยูโฟเนียมและบาริโทน





4. ทรอมโบน คือ เครื่องลมทองเหลือง มีคันชักโค้งเป็นรูปตัวยู สำหรับเปลี่ยนความสั้นยาวของท่อลม ตำแหน่งของการเลื่อนคันชักจะมีอยู่ทั้งหมด 7 ตำแหน่ง ให้ระดับเสียงดนตรีต่างกันออกไป ท่อลมกลวงทรงกระบอก ปลายท่อบานออกเป็นลำโพง เป่าโดยใช้กำพวดเป็นรูปถ้วย

เครื่องดนตรีสากลประเภทเครื่องตีกระทบ

1. กลองใหญ่ คือ เครื่องตีกระทบ มี 2 หน้า ขึงด้วยหนังกลอง กลองใหญ่ที่ใช้ในวงออร์เคสตร้าจะมีขนาดใหญ่ที่สุดกว่า 32 นิ้ว ถ้าใช้ในวงโยธวาทิตจะมีขนาดตั้งแต่ 20-32นิ้ว ตีด้วยไม้ตี ปลายไม้ข้างหนึ่งทำเป็นปมไว้สำหรับใช้ตีกระทบกับหนังกลองปมนั้นอาจหุ้มด้วยสักหลาด ไม้ก๊อก ผ้านวม หรือ ฟองน้ำ เสียงกลองตีเน้นย้ำจังหวะเพื่อให้เกิดความหนักแน่น หรือ อาจจะใช้รัวเพื่อให้เกิดความตื่นเต้น รัวเพื่อสร้างจุดสนใจในบทเพลงเพิ่มขึ้นก็ได้


2. กลองเล็ก คือ เครื่องตีกระทบ มี 2 หน้า ขึงด้วยหนังกลอง ลักษณะเฉพาะ คือ หนังกลองด้านล่างต้องคาดไว้ด้วยสายสะแนร์มีทั้งที่ทำด้วยไนล่อนและทำด้วยเส้นลวดโลหะ กลองเล็กมีหลายชื่อ เช่น Snare Drum และ Side Drum และ มีขาตั้งรองรับตัวกลองใช้เป็นส่วนหนึ่งของกลองชุด หรือนำมาใช้บรรเลงประกอบจังหวะสำหรับวงออร์เคสตร้าหรือวงอื่นๆที่นั่งบรรเลง สำหรับวงโยธวาทิตและแตรวง มีตัวยึดกลองทำด้วยโลหะคล้องยึดไว้กับลำตัวของผู้ตี กลองจะอยู่ด้านหน้าของผู้ตีใช้สำหรับดรียกกลองเล็กที่ผู้ตีต้องใช้สายสะพายคล้องกลองไว้ข้างลำตัว ตะขอที่อยู่ติดกับขอบกลองใช้คล้องเกี่ยวกับตัวกลองไว้กับสายสะพาย ขอบกลองด้านบนอยู่ในระดับเดียวกับเอวชองผู้ตี ตัวกลองอยู่ในลักษณะเฉียงกับสำตัวของผู้ตี


3. กลองทิมปานี เป็นกลองที่มีลักษณะเหมือนกระทะหรือกาต้มน้ำ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Kettle Drum ตัวกลองทำด้วยทองแดง ตั้งอยู่บนขาหยั่ง กลองทิมปานีมีระดับเสียงแน่นอน เทียบเท่ากับเสียงเบส มีกระเดื่องเหยียบเพื่อเปลี่ยนระดับเสียงตามต้องการในการบรรเบงต้องใช้อย่างน้อย 2 ใบ เสียงของกลองแสดงอำนาจ ทำให้ความยิ่งใหญ่ ตื่นเต้นเร้าใจ



4. กลองบองโก เป็นกลองคู่ จะต้องมี 2 ใบเสมอ เล็ก 1 ใบ ใหญ่ 1 ใบ ระดับเสียงของกลอง 2 ใบ ตั้งให้ห่างกันในระดับคู่ 4 หรือ คู่ 5 โดยประมาณ หนังกลองบองโกต้องตั้งให้ตึงกว่ากลองคองกา ตัวกลองติดตั้งอุปกรณ์ ยึดติดให้อยู่คู่กัน ขณะที่ตีกลอง ผู้ตีจะต้องหนีบกลองทั้ง 2 ใบให้อยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างหนีบไว้ด้วยหัวเข่า หรือวางไว้บนขาตั้งโลหะก็ได้ กลองบองโกต้องตีด้วยปลายนิ้วมือ และฝ่ามือ เช่นเดียวกับกลองคองกา

5. แทมบูริน เป็นเครื่องตีกระทบ ประกอบชิ้นด้วยขอบกลม เหมือนขอบกลองขนาดเล็กประมาณ 10 นิ้ว ขอบทำด้วยไม้พลาสติก หรือโลหะ รอบ ๆ ขอบติดด้วยแผ่นโลหะประกบกัน 2 แผ่น หรือติดด้วยลูกกระพรวนเป็นระยะ ใช้การตีกระทบกับฝ่ามือหรือสั่นเขย่าให้เกิดเสียงดังกรุ๋งกริ๋ง เพื่อประกอบจังกวะให้เกิดความสนุกสนาน สดชื่น แทมบูรินบางชนิดจะขึงด้วยหนังเหมือนกลอง 1 ด้านใช้ฝ่ามือตีที่หนัง

6. ฉาบ คือ เครื่องดนตรีกระทบ มีหลายลักษณะ บางชนิดใช้ตีคู่ให้เกิดเสียง ผู้ตีต้องลอดมือเข้าไปที่หูร้อยฉาบซึ่งทำสายหนังแบฝ่ามือให้ประกบแนบกับฝาฉาบตรงส่วนนูนกลางฉาบ แล้วตีกระทบฝาฉาบด้วยมือทั้งสองข้างฉาบบางชนิดจะใช้เพียงข้างเดียวตีด้วยไม้ตีฉาบประเภทนี้ต้องติดตั้งบนขาตั้ง เช่น ฉาบที่ใช้สำหรับกลองชุด เป็นต้น ฉาบมีหลายขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากจะทำให้เกิดเสียงดังและความก้องกังวานมากขึ้น


7. โซโลโฟน คือ เครื่องดนตรีกระทบทีร่มีระดับเสียงแน่นอน เป็นระนาดไม้ขนาดเล็กของดนตรนีตะวันตก ลักษณะทั่วไปจะคล้ายกับมาริมบา หรือ ไวบราโฟน แต่ขนาดเล็กกว่า ลูกระนาดทำด้วยไม้เนื้อแข็ง ใต้ลูกระนาดมีท่อโลหะติดอยู่ เพื่อเป้นตัวขยายเสียง


เครื่องดนตรีสากลประเภทเครื่องลิ่มนิ้ว



1. เปียโน เป็นเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ด เกิดเสียงโดยการกดคีย์ที่ต้องการ แล้วคีย์นั้นจะส่งแรงไปที่กลไกต่างๆภายในเครื่อง เพื่อที่จะทำให้สายโลหะที่ขึงตึงสั่นสะเทือนทำให้เกิดเสียงดังขึ้น สายเสียงจะถูกตีด้วยค้อน ซึ่งเชื่อมโยงไปยังคีย์ที่กด โดยผ่านเครื่องกลไกที่ซับซ้อนที่เรียกว่า แอ็คชั่น แต่เดิมเปัยโนมีชื่อเรียกว่า เปียโนฟอร์เต ทั้งนี้เพราะ เปียโนสามารถบรรเลงด้วยเสียงเบาและเสียงดังได้อย่างเด่นชัด



2. ออร์แกน เป็นเครื่องดนตรีคีย์บอร์ดประเภทใช้ลม เมื่อมีลมเป่าผ่านท่อทำให้เกิดเสียงท่อละหนึ่งเสียง ออร์แกนมีแผงคีย์สำหรับกดด้วยนิ้วและแผงคีย์เหยียบด้วยเท้าแผงคีย์ที่กดเล่นด้วยมือเรียกว่า แมนนวล แผงคีย์ที่เหยียบด้วยเท้า เรียกว่า เพดดัล การบังคับกลุ่มท่อต่างๆซึ่งจะดไว้เป็นพวกเดียวกันทำได้โดยการใช้ปุ่มกด หรือดันยกขึ้นลง ที่เรียกว่า สต็อป ออร์แกนขนาดใหญ่จะมีกลุ่มท่อเปลี่ยนเสียงที่เรียกว่า รีจีสเตอร์ เป็นจำนวนมากเพื่อใช้สร้างสีสันแห่งเสียงได้หลากหลาย ออร์แกนสมัยใหม่ใช้ไฟฟ้าบังคับแกนลมซึ่งตามแบบดั้งเดิมนั้นลมที่ใช้ก็เกิดจากการอัดลมด้วยเท้าของผู้เล่นหรือไม่ก็มีผู้ช่วยอัดลมแทนให้

รายชื่อเครื่องดนตรี


รายชื่อเครื่องดนตรี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
หน้านี้เป็นหน้ารวมรายชื่อบทความในหมวดหมู่ รายชื่อเครื่องดนตรี สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับ เครื่องดนตรี ดูที่ เครื่องดนตรี

เนื้อหา

[ซ่อน]

เครื่องดนตรีสากล[แก้]

เครื่องสาย (String Instruments)[แก้]

เครื่องกระทบ (Percussion Instruments)[แก้]

นุชเลิบอาลิป

เครื่องประเภทลิ่มนิ้ว(Keyboard Instruments)[แก้]

เครื่องเป่าลมไม้ (Woodwind Instruments)[แก้]

เครื่องเป่าทองเหลือง (Brass Instruments)[แก้]

เครื่องดนตรีไทย[แก้]

[1]

เครื่องสี[แก้]

เครื่องดีด[แก้]

เครื่องตี[แก้]

เครื่องตีไม้[แก้]

เครื่องตีโลหะ[แก้]

เครื่องตีหนัง[แก้]

เครื่องเป่า[แก้]

ประเภทเครื่องดีด


    1. ประเภทเครื่องดีด ได้แก่ เครื่องดนตรีที่มีสายเสียงเป็นสะพานวางสาย แล้วใช้ไม้ตัดปลายแหลมทู่ เป็นเครื่องมือดีดสายร่วมกับใช้นิ้วมือซึ่งจะคอยกดปิดเปิดเสียงตามฐานเสียงระดับต่างๆเครื่องดนตรีประเภทดีด ซึ่งยังคงเป็นที่นิยมในปัจจุบัน คือ จะเข้ นอกจากนั้นก็เป็น พิณ และ กระจับปี่ ซึ่งมีผู้นำมาบรรเลงบ้างเป็นครั้งคราว
    พิณเพี๊ยะ(ภาคเหนือ) เครื่องดนตรีในพระราชพิธี มีลักษณะคล้ายกับพิณน้ำเต้า แต่ประดิษฐ์ให้มีสายเพิ่มขึ้น 2 ถึง 4 สาย ตามที่ปรากฏในท้องถิ่นภาคเหนือ ผู้เล่นนิยมดีดคลอไปกับการขับร้องของตนเอง นิยมดีดพิณเพี๊ยะในขณะที่ไปเกี้ยวจีบสาวตามหมู่บ้านในเวลาค่ำ ปัจจุบันยังมีการเล่นบ้าง เฉพาะทางภาคเหนือ เท่านั้นเอง
    พิณน้ำเต้า (ภาคเหนือ) เครื่องดนตรีในพระราชพิธีพิณน้ำเต้าเป็นพิณสายเดียว ทำจากลูกน้ำเต้า และต่อมาได้ดัดแปลงเป็นพิณหลายสาย การเล่นพิณน้ำเต้า ผู้เล่นส่วนใหญ่เป็นชาย เวลาเล่นจะไม่สวมเสื้อ ใช้ส่วนที่ทำจากน้ำเต้า กดทับลงที่หน้าอก ใช้ดีดประสานเสียงกับเสียงซอของผู้เล่น
    กระจับปี่ (ภาคกลาง) เครื่องดนตรีในพระราชพิธี เป็นพิณชนิดหนึ่งมี 4 สาย เหตุที่เรียกเครื่องดนตรีชนิดนี้ว่า “กระจับปี่” เพราะว่าเสียงที่เรียก เพี้ยนมาจากคำว่า “กัจฉปิ” ซึ่งเป็นภาษาชวา เพี้ยนมาจากอีกต่อหนึ่งของภาษาบาลีว่า “กัจฉปะ” แปลว่า “เต่า” นิยมนำไปเล่นรวม ในวงมโหรีในสมัยก่อน แต่เนื่องจากกระจับปี่มีเสียงเบา และมีน้ำหนักมาก เพราะทำจากไม้แก่น ถือติดพกไปไหนไม่สะดวก จึงไม่มีผู้นิยมนำมาเล่น ต่อมา กระจับปี่จึงหายไปจากวงดนตรีไทย
    พิณอีสาน พิณมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปเช่น ซุง ซึง หมากจับปี่ หมากตดโต่ง หมากตับเต่ง เป็นต้น พิณทำด้วยไม้ เช่น ไม้ขนุน (ไม้บักมี่)เพราะมีน้ำหนักเบาและให้เสียงทุ้มกังวานไพเราะกว่าไม้ชนิดอื่น มีรูปร่างคล้ายกีตาร์แต่ฝีมือหยาบกว่า พิณอาจจะมี 2 สาย 3 สาย หรือ 4 สายก็ได้ โดยแบ่งออกเป็น2 คู่ เป็นสายเอก 2 สาย และสายทุ้ม 2 สาย ดั้งเดิมใช้สายลวดเบรครถจักรยานเพราะคงทนและให้เสียงดังกว่าสายชนิดอื่น แต่ในปัจจุบันนิยมใช้สายกีตาร์แทนการขึ้นสายไม่มีระบบแน่นอน นมหรือขั้นที่ใช้นิ้วกดบังคับระดับเสียงจะไม่ฝังตายตัวเหมือนกีตาร์หรือแมนโดลิน การเล่นก็เล่นเป็นเพลงเรียกว่าลาย
    โดยมากพิณจะเล่นคู่กันกับแคน
    ซึง (ภาคเหนือ) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายที่ใช้วิธีเล่นโดยการดีด สมัยก่อนใช้สายลวดเส้นเล็ก ๆ หรือสายเบรกรถจักยาน แต่ปัจจุบันนิยมใช้สายกีตาร์แทน ซึงของชาวเหนือเป็นพิณแบบสายคู่ โดยแบ่งเป็นสายบน และคู่สายล่าง (สายบน - สายลุ่ม) มีลูกนับแบ่งเป็นช่อง ๆ คล้ายกีตาร์ ซึงมีทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่และยังมีขนาดใหญ่มาก ๆ เรียกกันว่า ซึงหลวง แต่นิยมเล่นกันทั่วไปมักเล่นเพียง ๓ ขนาด คือ ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ซึงใช้เล่นเพื่อให้เสียงประสาน และตัดกัน ในการเล่นเป็นกลุ่ม หรือคณะ หรือเล่นบรรเลงเดี่ยวโดยเลือกขนาดที่ชอบของแต่ละบุคคล ซึงแต่ละขนาดต่างมีสำเนียงเฉพาะตัว มีความไพเราะ คนละรูปแบบส่วนประกอบของซึง
    จะเข้ เป็นเครื่องดีดที่ได้ดัดแปลงแก้ไขมาจากพิณ โดยประดิษฐ์ให้นั่งดีดได้สะดวกและให้ไพเราะยิ่งขึ้น โดยเหตุที่แต่เดิมนั้นตัวทำเป็นรูปร่างอย่างจระเข้ จึงเรียกเครื่องดนตรีชนิดนี้สั้น ๆ ว่า “จะเข้” สมัยต่อมา จะเข้มี 3 สาย สายหนึ่งทำจากทองเหลือง อีกสองสายทำด้วยไหมถักหรือสายเอ็น ไม้ดีดทำด้วยงาช้างหรือกระดูกของสัตว์ มีลักษณะกลมปลายแหลม ไทยเรารู้จักเล่นจะเข้มาตั้งแต่สมัยแรกเริ่มตั้งกรุงศรีอยุธยา แต่เพิ่งนำมาผสมเข้ากับวงเครื่องสายและมโหรี เมื่อสมัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะว่า จะเข้เป็นเครื่องดนตรีไทย ที่เหมาะสำหรับเดี่ยวก็ได้ปัจจุบัน จะเข้ นับว่าเป็นเครื่องดนตรีที่คุ้นหูคุ้นตาชนิดหนึ่งมีกระแสเสียงก้องกังวานและไพเราะเป็นที่นิยมแพร่หลายในวงการดนตรีไทยทั่ว ไป
    ไหซอง เป็นเครื่องดนตรีประเภทคุมจังหวะ ให้เสียงทุ้มต่ำ แตกต่างกันขึ้นอยู่กับความโตของไหที่ใช้ และความตึงหย่อนของหนังยางที่ขึงพาดอยู่ปากไห ไหซอง โดยทั่วไป นิยมใช้บรรจุปลาร้า เกลือ และหมักสาโท ยังไม่ทราบชัดเจนว่า ใครเป็นผู้นำไหซอง มาทำเป็นเครื่องดนตรีคนแรกไหซอง ทำเป็นเครื่องดนตรี ได้โดย ใช้สายยาง หรือสายหนังสะติ๊ก (สมัยก่อน ใช้ยางในรถจักรยาน หรือยางในล้อรถ ต่อมาใช้ยางหนังสะติ๊ก) ขึงให้ตึงพาดผ่านปากไห และมัดยึดปลายสองด้านไว้กับคอไห ปรับความตึงของหนังยางให้พอเหมาะ เวลาจะเล่น ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้เกี่ยวดึงสายหนังยางขึ้นมาแล้วปล่อย เสียงที่ได้จากการดึงปล่อยหนังยาง จะดังทุ้มต่ำ คล้ายเสียงเบส สมัยก่อนนั้น ยังไม่มีเบส จึงใช้ไหซองแทนเสียงเบส โดยจำนวนไหที่นิยมใช้ ประมาณ ๔-๕ลูก ปรับระดับคีย์เสียงให้เหมาะสมกับเสียงดนตรีหลัก โดยปรับความตึงของหนังยาง วางเรียงไหบนขาตั้งไห จากใหญ่ไปหาเล็ก และผู้บรรเลงไหซอง ก็เป็นผู้ชายเหมือนเครื่องดนตรีอื่นๆ วงโปงลางในยุคปัจจุบัน ส่วนใหญ่ ใช้เบส คุมจังหวะ จึงไม่มีการดีดไหซองจริงๆ ซึ่งไหซองในปัจจุบัน เป็นเพียงโชว์ลีลาการดีดประกอบท่าฟ้อนรำแบบอ่อนช้อยแพรวพราว ดังนั้น จึงนิยมใช้ผู้หญิงเป็นผู้ดีดไห เรียกว่า นางดีดไห หรือนางไห และนางไหนี่เอง ถือเป็นจุดดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้มาก 

เครื่องดนตรีในรัชกาลที่3


เครื่องดนตรีไทยในรัชกาลที่ ๓
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ครั้งบ้านเมืองยังดี ได้มีผู้นิยมเล่นเพลงและดนตรีกันมาก ทั้งในเขตพระราชฐาน ก็มีผู้นิยมเล่นเพลงและดนตรีไม่น้อย ถึงกับมีข้อห้ามปรากฏอยู่ในกฎมณเฑียรบาลในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
(พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๑๓) ว่า “ห้ามร้องเพลงเรือ เป่าขลุ่ย เป่าปี่ สีซอ ดีดจะเข้ ตีโทนทับ ณ เขตพระราชฐาน” จากหลักฐานนี้เป็นเครื่องยืนยันให้เห็นถึงความเป็นผู้มีดนตรีในหัวใจของคนไทย ซึ่งมรดกชิ้นนี้ได้ตกทอดสืบต่อกันมา ชาวไทยเรามีเพียงรักษาไว้เท่านั้น ยังได้มีการสร้างเสริมเพิ่มเติมเป็นระยะๆ ตลอดมา เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้นได้มีวงปี่พาทย์เครื่องห้าบรรเลงอยู่แพร่หลาย ทั่งไปแล้ว เครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์เครื่องห้าเดิมก็คงมี ๓ ชิ้น เครื่องทำจังหวะ ๒ ชิ้น

เครื่องทำทำนองได้แก่ ระนาด ๑ ราง, ปี่ ๑ เลา, ฆ้องวง ๑ วง
เครื่องทำจังหวะได้แก่ ตะโพน ๑ ใบ, กลองทัด ๑ ลูก

ต่อมาได้เพิ่มเครื่องทำจังหวะขึ้นอีกสิ่งหนึ่ง ได้แก่ฉิ่ง และเมื่อเกิดเล่นละครเรื่องอิเหนาของชวาขึ้น จึงได้เพิ่มกลองแขกเข้าในวงปี่พาทย์อีกสิ่งหนึ่ง ในสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี แม้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จะทรงมีพระราชภารกิจในเรื่องความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ต้องตรากตรำทำศึกสงครามอยู่ตลอดรัชกาล ก็ตาม พระองค์ก็มิได้ทรงละเลยศิลปวัฒนธรรมของชาติ ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ถึง ๕ ตอน กล่าวกันว่าได้ทรงลงควบคุมการฝึกซ้อมโขนด้วยพระองค์เอง ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า การโขนละคร และดนตร ีในสมัยกรุงธนบุรีได้รับการทำนุบำรุงเป็นอย่างดี และได้สืบทอดต่อมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์
ในรัชกาล ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้เพิ่มกลองทัดขึ้นเป็นสองลูก
ในรัชกาลที่ ๒ มีกลองสองหน้าเพิ่มขึ้นในวงปี่พาทย์ใช้ในการบรรเลงร้องรับเสภาแทนตะโพน
ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีปรมาจารย์ทางดนตรีคิดประดิษฐ์เครื่องทำทำนองขึ้นมาอีกชนิดหนึ่ง มีรูปร่างคล้าย ระนาดจึงได้เรียกระนาด ที่รับมรดกสืบต่อกันมาว่า “ระนาดเอก” เรียกระนาดที่คิดประดิษฐ์ขึ้นใหม่ว่า “ระนาดทุ้ม”ทั้งยังได้ประดิษฐ์ฆ้องวง
ขึ้นมาอีกชนิดหนึ่ง มีขนาดของวงและลูกฆ้องเล็กกว่าฆ้องวงเดิม จึงเรียกฆ้องวงเดิมว่า “ฆ้องวงใหญ่” และเรียก
ฆ้องวงใหม่ว่า “ฆ้องวงเล็ก” เมื่อนำเครื่องดนตรีทั้งสองเข้ารวมในวงปี่พาทย์อีกทั้งนำ ปี่นอก
เข้าประสมคู่กับปี่ใน จึงปรากฏวง “ปี่พาทย์เครื่องคู่” ในวงการดนตรีไทยตั้งแต่รัชสมัยนี้เป็นต้นมา
เครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์เครื่องคู่
๑. ปี่ใน ๒. ปี่นอก
๓. ระนาดเอก ๔. ระนาดทุ้ม
๕. ฆ้องวงใหญ่ ๖. ฆ้องวงเล็ก
๗. ตะโพน ๘. กลองทัด
๙. ฉิ่ง ๑๐. ฉาบเล็ก
ในวงปี่พาทย์เครื่องห้า เครื่องดนตรีที่ดำเนินทำนองเป็นหลักของวง ได้แก่ ฆ้องวงใหญ่ ส่วนระนาดนั้นจะดำเนิน ทำนองโดยแปลจาก “ทางลูกฆ้อง” เป็นกลอนระนาดซึ่งก็จะเป็นไปตามแนวทางฆ้อง กำหนดไว้ ส่วนปี่ก็ดำเนินทำนอง
โดยเก็บบ้าง โหยหวนบ้าง ไปตามทางขอปี่ เวลาจบก็ลงที่ลูกฆ้องเดียวกัน สำหรับระนาดทุ้มที่สร้างขึ้นใหม่นั้น แม้จะมีลักษณะรูปร่างคล้ายกับระนาดเอกแต่เสียงและวิธีการบรรเลงแตกต่าง จากระนาดเอกโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้เพราะ เมื่อปรมาจารย์ท่านได้คิดประดิษฐ์เครื่องดนตรีขึ้นแต่ละชิ้น ท่านก็จะประดิษฐ์วิธีการบรรเลงและท่วงทีลีลาไว้กำกับประจำ เครื่องดนตรีนั้นๆ ด้วย ดังนั้นเครื่องดนตรีแต่ละชนิดจึงมีเสียงและกลอนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน ดังจะอธิบาย
เครื่องดนตรีีแต่ละเครื่องมือ (เฉพาะเครื่องทำทำนอง) พอสังเขป และจะอธิบายเป็นคู่ๆ เพื่อเพิ่มความเข้าใจของผู้สนใจ ในดนตรีไทย
๑. ปี่นอก-ปี่ใน
ปี่นอก ปี่ใน มีรูปร่างเหมือนกัน ปี่นอกมีขนาดเล็กกว่า และมีเสียงสูงกว่าปี่ใน ปี่กลาง วิเคราะห์ตามท่วงทำนองเพลง
จะพบว่า ไม่ว่าจะเป็นเพลงหน้าพาทย์หรือเพลงเรื่องต่างๆ ซึ่งใช้บรรเลงในงานพระราชพิธี งานพิธี ล้วนแต่บรรเลงด้วย
ทางในหรือเสียงในทั้งนั้น ตัวอย่างเพลงพิธีที่รู้จักกันดีคือ เพลงสาธุการ เมื่อตั้งเสียงในการดำเนินทำนองฆ้องของ
แต่ละมือ จะมีลักษณะการตีที่ครบสมบูรณ์ทั้งสองมือ และจะตีได้เหมาะพอดีครบทั้ง ๑๖ ลูก ๑๖ เสียง ซึ่งถือว่าเสียงใน
(ทางฆ้อง) เป็นมือครู แต่ถ้าตั้งเสียงอื่นลักษณะการตีจะไม่พอเหมาะพอดีเหมือนกับตั้งเสียงใน
จากเหตุผลนี้น่าจะสรุปได้ว่า วงปี่พาทย์ที่ใช้บรรเลงในงานพระราชพิธีต่างๆ น่าจะใช้ ปี่ใน ส่วนปี่นอกนั้นใช้ในวงปี่พาทย์ ในละครชาตรี และละครนอก ซึ่งก็เหมาะสมกับเสียงร้องของผู้ชาย เพราะละครสมัยก่อน ผู้ชายแสดงล้วน ต่อมาเมื่อเกิดมีการแสดงละครในพระราชฐาน ซึ่งใช้ผู้หญิงแสดง วงปี่พาทย์ที่ใช้บรรเลงในการแสดงละครผู้หญิง ก็คงใช้ปี่พาทย์ปี่บรรเลงในงานพระราชพิธีซึ่งใช้ปี่ใน อีกทั้งปี่ในนั้นมีระดับเสียงไม่สูงเท่าปี่นอก เป็นระดับเสียงที่เหมาะกับ เสียงของผู้หญิง ดังนั้นจึงอาจสันิษฐานได้ว่า ด้วยเหตุเช่นนี้ ในชั้นหลังต่อมา เมื่อมีผู้เรียกละครที่นางในแสดงว่า ละครใน จึงได้เรียกปี่ที่ใช้ในวงปี่พาทย์ว่า ปี่ใน ส่วนละครที่ผู้ชายแสดงนอกพระราชฐานก็ได้ชื่อว่า ละครนอก ปี่ที่ใช้ในวงปี่พาทย์ ละครนอกก็เลยมีชื่อว่า ปี่นอก ไปด้วยก็เป็นได้ แต่จะอย่างไรก็ตาม ทั้งปี่นอกและปี่ใน ต่างก็ปฏิบัติหน้าที่ในวงของตนโดยมิได้เกี่ยวข้องกัน จนกระทั่งมาถึงรัชสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์จึงได้มีผู้นำเอาปี่นอกและปี่ในมาเข้าวงบรรเลง เป็นคู่กัน ซึ่งทำให้เกิดแนวทางประสานเสียง
อย่างน่าฟัง ดุจเสียงสวดของพระและเณร เสียงปี่นอกเปรียบได้กับเสียงสูง
สดใสของเณรน้อย ส่วนปี่ในที่เปรียบได้กับเสียงทุ้มกังวานของพระ เมื่อพระและเณรสวดพร้อมๆ กัน จะบังเกิดเสียงที่น่าฟังเป็นอย่างยิ่ง หรือถ้าจะเปรียบให้เหมาะกับปัจจุบัน การได้ฟังเสียงปี่นอกประสมประสาน กับปี่ใน ก็เหมือนกับได้ฟังเสียงจาดตู้ลำโพงเครื่องเสียงที่มีตัวลำโพงทั้งเสียงเบสและเสียงแหลมอยู่ในตู้เดียวกัน ฉันใดก็ฉันนั้น ยิ่งกว่านั้นปี่ทั้งสองยังมีลีลาและวิธีการบรรเลงที่หยอกล้อพัวพันกันอย่างมีจังหวะอีกด้วย
๒. ระนาดเอก-ระนาดทุ้ม
มีตำราบางเล่มกล่าวว่า ในสมัยแรกๆ ระนาดเอกคงมีราวๆ ๑๙ ลูก และน่าจะมี ๒๑ ลูกมานานแล้ว สามารถวิเคราะห์ออกมาได้จาการดำเนินกลอนของระนาดเอก เมื่อแปลจากทางฆ้องวงใหญ่ซึ่งมี ๑๖ ลูก เป็นทางระนาดจะมีเสียงครบ ๒๑ เสียงพอดี ลูกยอดของฆ้องวงใหญ่คือ ลูกที่ ๑๖ (นับจากมือซ้าย) จะมีเสียงตรงกับ
ระนาดเอกลูกที่ ๒๑ (นับจากซ้ายมือ) เดิมลูกระนาดเอกทำด้วยไม้ไผ่ ต่อมามีผู้คิดนำไม้ชิงชันมาเหลาเป็นลูกระนาด ผืนระนาดเอกไม้ชิงชันนี้จะมีลูกระนาด ๒๒ ลูก การที่เกิดความคิดนำไม้ชิงชันมาเหลาเป็นลูกระนาดนั้น มีเหตุผลท
ี่น่าเชื่อได้ว่า น่าจะมีมาตั้งแต่่สมัยอยุธยาแล้ว เพราะการแสดงกลางแจ้ง เช่นโขน หนังใหญ่ เป็นการแสดงในเวลากลางคืน ครั้นดึกเข้า ผืนระนาดไม้ไผ่จะถูกน้ำค้างเปียก เมื่อเปียกชื้นแล้วตีด้วยไม้แข็งต่อไป ผิวไม้ไผ่จะแตก มิหนำซ้ำเสียงก็ไม่ดัง เพื่อแก้ไขปัญหาข้อนี้ ปรมาจารย์จึงได้ประดิษฐ์ผืนไม้ชิงชันขึ้น เพื่อให้เหมาะกับ การบรรเลงกลางแจ้ง ซึ่งนอกจากจะทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศแล้ว ยังมีเสียงดังกว่าผืนไม้ไผ่อีกด้วย การที่ผืนระนาดไม้ชิงชัน มี ๒๒ ลูกนั้น วิเคราะห์เหตุผลได้ ๒ ข้อ คือ
๑. ลูกระนาดไม้ชิงชันมีขนาดเล็กกว่าลูกระนาดไม้ไผ่ ถ้ามีจำนวน ๒๑ ลูก เมื่อนำไปแขวนที่รางระนาด จะเหลือช่องว่างมากดูไม่งาม จึงเหลาเพิ่มอีก ๑ ลูก ซึ่งทำให้เต็มรางพอดี
๒. การเพิ่มลูกระนาดลูกที่ ๒๒ นั้น เป็นการเพิ่มลูกยอด เมื่อนำไปบรรเลงในการแสดงหนังใหญ่ ซึ่งใช้ปี่กลาง (ปี่กลางระดับเสียงสูงกว่าปี่ใน ๑ เสียง) ทำให้บรรเลงได้สะดวก มีระดับเสียงที่พอเหมาะพอดีกับ ระดับเสียงของปี่กลาง ส่วนระนาดทุ้ม ซึ่งได้กล่าวไว้แต่ตอนต้นแล้วว่า เป็นเครื่องดนตรีที่คิดประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ในรัชกาลที่ ๓ นั้น ถ้ามองโดย
ผิวเผิน จะเห็นว่ามีรูปร่างคล้ายราดเอก แต่ถ้าพิจารณาจริงๆ ทีละส่วน จะพบว่าปรมาจารย์ท่านได้นำแนวความคิด จากระนาดเอกเพียงโครงสร้างภายนอกเท่านั้น รายละเอียดส่วนใหญ่ มิได้เหมือนระนาดเอกเลย เริ่มจากลักษณะของ รางระนาดทุ้มก็ดูเทอะทะกว่ารางระนาดเอก ลูกระนาดทุ้มมีเพียง ๑๗ ลูก เสียงและลักษณะ การตียิ่งแตกต่างจาก
ระนาดเอก โดยสิ้นเชิง ระนาดเอกนั้นมีเสียงที่โปร่งใส เช่น เสียงกลม เสียงร่อน ฯลฯ ส่วนระนาดทู้มีเสียงหนึบๆ ระนาดทุ้มใช้ตีด้วยข้อแบบขยอก แต่ไม่ถึงโขยก ลักษณะการตีต้องกดเสียงไว้ จะตีเปิดหัวไม่ให้มีเสียงโปร่งร่อนอย่าง ระนาดเอกไม่ได้ ถือว่าผิดหลักวิชา อันดนตรีนั้น “สื่อความหมายคือเสียงบอก” ดนตรีไทยของเรา ปรมาจารย์ได้กำหนด
เสียง และหน้าที่ของเครื่อง แต่ละชนิดไว้อย่างชัดแจ้ง ถ้าเปรียบระนาดเอกเป็น “พระเอก” ระนาดทุ้มก็ถูกกำหนดให้เป็น
“ตัวตลก” ผู้ช่วยพระเอกเป็นผู้ทำความสนุกครึกครื้นให้กับวง เป็นผู้ช่วยเหลือชักนำระนาดเอกบ้าง หรือไม่ก็เป็นผู้คอย ติดตามประกบหน้าประกบหลังอย่างใกล้ชิดติดพันตามหน้าที่ของผู้ช่วยที่ดี การตีทุ้มต้องตีให้หนืด มีหลักอยู่ว่า
“ขวาเปิด ซ้ายปิด” (ระนาดเอกมักตีเป็นคู่แปด ส่วนทุ้มนั้นสองมือลงไม่พร้อมกัน) มีศัพท์ชมการตีของผู้ที่ตี ระนาดทุ้มได้อย่างถูกหลักวิชาว่า

“นาย ก ตีทุ้มได้ดูดดี” ซึ่งเป็นที่เข้าใจในหมู่นักดนตรีว่า นาย ก ตีระนาดทุ้มได้ดีถูกต้องตามหลักวิชา แสดงว่า
นาย ก เป็นผู้ที่ได้เรียนรู้เป็นศิษย์มีครู สำนวนกลอนของระนาดเอกและระนาดทุ้มก็แตกต่างกัน นั่นเป็นผลสืบเนื่องจาก
ลักษณะ ของเสียง และหน้าที่ของแต่ละเครื่องมือ แต่ละสำนวนกลอนทีมีชื่อเรียก ตามลักษณะของเสียง เช่น ระนาดเอกมีกลอนไต่ลวด กลอนตาข่าย กลอนเดินตะเข็บ กลอนย้อนตะเข็บ ฯลฯ ระนาดทุ้มก็มีสำนวนกลอนเฉพาะ ระนาดทุ้มเรียกชื่อกลอนตามเสียงเช่นกัน กลอนนี้มีชื่อว่า “อีหนูตูดเปรอะ” จะเห็นได้ว่าแม้แต่ชื่อของกลอน ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความตลกคะนอง อันเป็นสัญลักษณ์เฉพาะตัวของระนาดทุ้มอย่างชัดเจน
๓.ฆ้องวงใหญ่-ฆ้องวงเล็ก
สำหรับฆ้องวงใหญ่กับฆ้องวงเล็กนั้น นอกจากรูปร่างลักษณะที่เห็นภายนอกว่าเหมือนกันแล้ว ส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียง
วิธีการ ลีลา และท่วงทำนองในการบรรเลงไม่มีส่วนใดคล้ายกันเลย ฆ้องวงใหญ่มีลูกฆ้อง ๑๖ ลูก ฆ้องวงเล็กมีขนาดเล็ก
กว่า แต่มีลูกฆ้องมากกว่า คือมีทั้งหมด ๑๘ ลูก เหตุที่ลูกฆ้องวงเล็กมากกว่าลูกฆ้องวงใหญ่ เพราะท่วงทำนองในการ
บรรเลง ต่างกัน ฆ้องวงเล็กมีลีลาค่อนข้างใกล้เคียงกับระนาดเอก แต่ละเอียดกว่า มีซอย มีเก็บ มีสะบัด และลูกสะบัดนี้จำเป็นต้องใช้เสียงสูงกว่าฆ้องวงใหญ่ มิฉะนั้นไม่สะดวกในการบรรเลง โดยเฉพาะในเพลงเดี่ยว ถ้ามี
ลูกฆ้องเพียง ๑๖ ลูก จะตีไม่ได้ ถ้ามี ๑๘ ลูก การตีจะสมบูรณ์คล่องตัว ลักษณะการตีของฆ้องวงเล็กก็ต่างจาก
ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงใหญ่ ต้องตีให้เสียงหนืด หนับ หนอด โหน่ง ตืด ตึง ส่วนฆ้องวงเล็กนั้นมีเสียง กรอด กรุบ ร่อน
ปริบ โปรย ฆ้องวงใหญ่วงเล็ก มีลีลาที่คล่องแคล่ว ปราดเปรียว ให้ความคึกคักกระปี้กระเปร่าเร้าใจ มีลักษณะลีลาดุจ กระต่ายเต้นอยู่ตลอดเวลา ถ้าเปรียบฆ้องใหญ่เป็นกุลสตรีตำแหน่งสาวใช้ผู้คล่องแคล่ว จัดจ้าน คู่ใจเจ้านาย ก็ต้องได้แก
่ฆ้องเล็ก

เมื่อนำเครื่องดนตรีทั้งหมดเข้าร่วมบรรเลงในเพลงเดียวกัน แต่ละเครื่องมือต่างก็ดำเนินทำนองไปตามทางของตน (ตามหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้แล้ว) ซึ่งก็จะพบว่าเสียงของเครื่องดนตรี แต่ละเสียงที่แตกต่างกันนั้นสามารถประสมประสาน
สอดคล้อง คลุกเคล้ากันได้อย่างมีจังหวะ และเป็นระบบ เหมาะเจาะเกิดความไพเราะ ได้อารมณ์หลากรสอย่างน่าพิศวง ซึ่งต้องนับว่า เป็นความสามารถอย่างเอกอุของเหล่าท่านปรมาจารย์ทั้งหลายที่ได้สร้างสรรค์สืบทอดต่างๆ กันมา
ดังจะยกตัวอย่าง แบบเทียบระดับเสียงและการวางตัวโน้ตของเครื่องดนตรี และแบบเทียบทางบรรเลงของแต่ละเครื่องมือ ในเพลงเสมอ วงปี่พาทย์เครื่องคู่ในรัชกาลที่ ๓ เป็นวงดนตรีที่สามารถอวดชาวโลกได้ว่าชาติไทยมีวงดนตรีที่มีการ
ประสานเสียง อย่างสมบูรณ์มาตั้งร้อยเศษแล้ว โดยคำนวณจากอายุของวงปี่พาทย์เครื่องคู่ ซึ่งเกิดในสมัยรัชกาลที่ ๓ ทั้งนี้เพราะพระชนมายุของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๓๐
มีอายุครบ ๒๐๐ ปีแห่งวันพระราภพในวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓o แล้ว กล่าวได้ว่า ความเจริญเติบโตของ
การดนตรีไทย ที่เกิดขึ้นในชั้นหลัง ไม่ว่าจะเป็นการประสมวงเป็นวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ ปี่พาทย์มโหรี หรือแม้แต่วงมหาดุริยางค์ไทยก็ดี ล้วนแต่ได้อาศัยพื้นฐานจากวงปี่พาทย์เครื่องคู่ ในรัชกาลที่ ๓ ทั้งสิ้น เช่น เกิดมี ระนาดเอกเหล็กระนาดทุ้มเหล็กเพิ่มขึ้น เกิดเป็นวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ในรัชกาลที่ ๔ แต่เครื่องดนตรีทั้งสองก็มิได้มีหลักปฏิบัติพิเศษแต่อย่างใด ระนาดเอกเหล็ก ก็ปฏิบัติเหมือนระนาดเอกไม้ทุกประการ
เพียงแต่มิได้เป็นผู้นำวงเท่านั้น ส่วนระนาดทุ้มไม้ แต่ลักษณะการตีห่างกว่าระนาดทุ้มไม้ โดยทิ้งช่วงให้เสียงดัง กังวานยาวดุจเสียงตีของลูกตุ้มนาฬิกาโบราณ ส่วนปี่พาทย์ให้เล็กลงแล้วเลื่อนระดับเสียงให้สูงขึ้นไปอย่างเช่น
ระนาดเอก เสสียงลูกยอดลูกที่ ๒๑ ตรงกับเสียงซอด้วงสายเอก กดด้วยนิ้วก้อย และตรงกับเสียงลูกยอดของ
ฆ้องวงใหญ่ลูกที่ ๑๖ การพัฒนานี้ทำให้มากล่าวว่า “เสียงมโหรีนั้นกลมกล่อมดุจเสียงสวรรค์” จึงมักมีผู้นิยม นำวงมโหรีบรรเลงในงานมงคลสมรสกล่อมหอให้คู่บ่าวสาว แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ปัจจุบันส่วนใหญ่มีผู้มักง่าย
นำระนาดใหญ่มาบรรเลงในวงมโหรี การกระทำดังกล่าวนี้นับว่าเป็นการทำลายดนตรีที่ปรมาจารย์สร้างไว้เป็นอย่างดี เป็นการเสียทั้งอรรถรสและเสียทั้งหลักวิชาการ ทั้งนี้เพราะปรมาจารย์ท่านได้กำหนดหลักเสียงหรือเสียงหลักของ
การบรรเลงได้อย่างแน่นอนว่า การบรรเลงประเภทใดใช้สียงใด ซึ่งจะขอกล่าวไว้ ณ ที่นี้พอสังเขป

๑. เสียงใน (ปี่ใน) ใช้บรรเลงเพลงพิธีต่างและละครใน
๒. เสียงกาง (ปี่กลาง) มีระดับเสียงสูงกว่าปี่ใน ๑ เสียง ใช้บรรเลงในการเล่นหนังใหญ่
๓. เสียงนอง (ปี่นอก) บรรเลงกับละครอกละครในราชาตรี
๔. สียงในกรวดหรือในหลัก (ปี่ในเป่าทางแหบบรรเลงรับร้องเสภา)
๕. เสียงเพียงออบน (ขลุ่ยเพียงออ) บรรเลงในวงมโหรี เครื่องสาย
๖. เสียงออกกรวด (ขลุ่ย) บรรเลงวงเครื่องสายผสมออร์แกน
๗. เสียงเพียงออล่าง (ขลุ่ย) บรรเลงวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์
๘. เสียงกลางหรือเสียงชวา บรรเลงปี่ชวากลองแขก หรือเรื่องสายปี่ชวา วงปี่พาทย์นางหงส์ วงปี่พาทย์มอญ โดยเฉพาะ
เพลงมอญร้องไห้ (เหตุนี้มีผู้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เสียงร้องไห้)

ด้วยเหตุที่ไทยเรามีเสียงหลักกำหนดไว้เป็นกฏเกณฑ์ที่ชัดเจนมาแล้วแต่โบราณนี้เอง จึงใคร่ขอฝากไว้ ณ ที่นี้ว่า
ในเมื่อไทยเราก็มีเสียงหลัก หรือหลักเสียงที่ครบถ้วนตามลักษณะของวงดนตรีแต่ละประเภทอยู่แล้วเราชาวไทยก็น่าจะยืด
กฎเกณฑ์ของเราไว้ เป็นจุดยืนของการดนตรีไทยให้มั่นคง ศัพท์เฉพาะทางดนตรีปรมาจารย์ท่านก็ได้บัญญัติไว้แล้ว สมควรที่ลูกหลานไทยต้องหวงแหนและรักษาไว้ เราไม่มีความจำเป็นใดใดที่จะต้องไปหยิบยืมคำศัพท์ของชาติอื่นมาใช้ (ซึ่งก็มิได้เหมาะกับลักษณะของดนตรีไทยเลย) เพียงเหตุผลเพื่อให้เกิดความสะดวกต่อคนชาติอื่นที่จะเข้ามาศึกษา
ดนตรีไทยเท่านั้น ก็ในเมื่อเขาสนใจจะศึกษาดนตรีไทย เขาก็สมควรที่จะเพียรพยายามที่จะเรียนรู้ดนตรีไทยตามแบบฉบับ
ซึ่งเป็นเอกลักษณะของไทย ไม่ว่าเป็นแนวการการปฏิบัติหรือคำศัพท์เฉพาะ มิใช่ไทยปนเทศ อย่างน้อย ๆ ก็เพื่อเห็นแก่ ความเพียรพยายามของท่านปรมาจารย์ทั้งหลายที่ได้ช่วยกันสร้างสรรค์ดนตรีไทย จกระทั้งเป็นวงดนตรีที่ครบถ้วนสมบูรณ์
มาตั้งร้อยปีเศษแล้ว
อีกอย่างหนึ่ง ถ้าจะไม่กล่าวถึงก็ดูเหมือนว่าข้อเขียนนี้จะไม่สมบูรณ์ นั้นก็คือ การเกิดปี่พาทย์เครื่องคู่ซึ่งเป็นต้นกำหนดของการบรรเลงอีกหลายรูปแบบ ทำให้เกิดการประดิฐท่วงทำนองเพลง
ที่มีลูกล้อลูกขัด เกิดการบรรเลงเพลงเดี่ยวที่มีขั้นตอนเป็นแบบแผนที่ยึดถือปฏิติกันต่อๆ มา จะอธิบายขั้นตอนของ
การบรรเลงเพลงเดี่ยว ดังนี้ สมมติว่า เพลงเดี่ยวที่บรรเลงเป็นสามท่อนเมื่อขับร้องจบท่อน ๑ ปี่จะรับไปจนจบท่อน แล้วระนาดเอกจะบรรเลงต่อจนจบท่อนเช่นกัน ต่อจากนั้นผู้ขับร้องก็จะร้องท่อนที่ ๒ ต่อไป เมื่อจบท่อน ปี่และระนาดเอก
ก็จะรับท่อนที่ ๒ ในลักษณะเดียวกับท่อนที่ ๑ แล้วผู้ขับร้องก็จะร้องท่อนที่ ๓ เมื่อจบท่อนที่ ๓ ปี่ก็จะรับ
แล้วต่อด้วยระนาดเอก พอระนาดเอกรับจบ ฆ้องวงใหญ่ก็จะบรเลงตั้งแต่ท่อนที่ ๑- ท่อนที่ ๓ ติดต่อกันไปจนจบเพลง ต่อจากนั้นระนาดทุ้มจะบรรเลงไปพร้อมๆ กับฆ้องวงเล็กตอนนี้จะสนุกสนานครึกครื้นเร้าใจมากทีเดียว ได้ทั้งรสชาต
ิและอารมณ์อย่างสมบูรณ์ เมื่อกล่าวมาถึงตอนนี้ก็อดที่จะนึกเสียดายไม่ได้ว่า การบรรเลงเพลงเดี่ยวในระยะหลังๆ มานี้ ระนาดทุ้มกับฆ้องวงเล็กไม่บรรเลงร่วมกันทำให้เสียรสในการฟังไปเป็นอย่างมาก ที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะความเข้าใจผิด
ของคนรุ่นหลัง คือในสมัยหนึ่ง ในการทำพิธีไหว้ครูที่บ้านท่านครูหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ได้มีการบรรเลงเดี่ยวเมื่อถึงช่วงที่ระนาดทุ้มกับฆ้องเล็กบรรเลง ท่านครูสังเกตเห็นว่าไม่มีใครสนใจฆ้องวงเล็ก ทั้งๆที่ ี่เป็นเครื่องมือที่เล่นยากที่สุดท่านจึงคิดประดิษฐทางฆ้องวงเล็ก แล้วให้ฆ้องวงเล็กบรรเลงเดี่ยวเป็นการโชว์ทาง อวดฝีเมือ การกระทำเช่นนี้ของท่านถือว่าเป็นเรื่องเฉพาะกาล เป็นเรื่องสนองเจตนาโดยส่วนตัวของท่านเพื่อจุดประสงค์บางประการ
ดังนั้น เมื่อคนรุ่นหลังมาปฏิบัติเลียนแบท่าน โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ต่ความรู้และความคิดประดิษฐสู้ท่านไม่ได้ก็เลยทำให
้การฟังเพลงเดี่ยวต้องเสียรสไป จึงควรที่จะยึดถือปฏิบัติตามแบบเดิม คือ ให้ฆ้องวงเล็กบรรเลงคู่ไปกับระนาดทุ้ม
เหมือนเดิม จึงจะทำให้ได้อารมณ์สมบูรณ์สมตามเจตนาแต่โบราณ กล่าวไว้แล้วข้างต้นว่า การดนตรีไทยของเราได
้มีการพัฒนาอยู่เสมอเป็นระยะๆ จนกระทั่งครบที่สมบูรณ์พร้อมในสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์แม้ในชั้นหลังๆ
จะมีผู้คิดเครื่องดนตรีเพิ่มขึ้นเป็น วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ หรือวงมหาดุริยางค์ก็ดี เครื่องดนตรีที่เพิ่มขึ้น
(ดังได้อธิบายไปแล้ว) ก็มิได้เป็นแบอย่างใหม่ เรียกได้ว่าไม่มีแก่นสารอะไร แม้วิธีการบรรเลงก็คงยึดแนวทางวงปี่พาทย์เครื่องคู่เป็นคู่หลัก ด้วยเหตุนี้จึงสามารถกล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่า “วงดนตรีไทยมีการพัฒนาสู่รูปแบบที่สมบูรณ์ที่สุดในรัชสมัยแห่งแผ่นดิน พระนั่งเกล้าเจ้าหัวรัชกาลที่ ๓ แห่ง
กรุงรัตนโกสินทร์ โดยแท้”

ดนตรีไทย


ประเภทของวงดนตรีไทย
วงดนตรีไทย ในปัจจุบันได้จัดรูปแบบการบรรเลง มีความเป็นระเบียบแบบแผน มีมาตรฐานถูกต้องตามหลักการประสมวง มีการพัฒนารูปแบบการบรรเลงเป็นระยะ ซึ่งแบ่งได้เป็น ๓ ประเภท คือ

๑.๑ วงปี่พาทย์
วงปี่พาทย์ หมายถึง วงดนตรีที่เกิดจากการประสมวงกันระหว่างเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าและเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีเป็นหลัก แบ่งออกเป็น ๓ ขนาด ดังนี้
วงปี่พาทย์เครื่องห้า
๑.) วงปี่พาทย์เครื่องห้า วงดนตรีประเภทนี้มีการประสมวงมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี ประกอบด้วย ปี่ใน ระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ตะโพน กลองทัด และฉิ่ง
วงปี่พาทย์เครื่องคู่
๒.) วงปี่พาทย์เครื่องคู่ วงดนตรีประเภทนี้เกิดการประสมวงครั้งแรกในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกอบด้วย ปี่ใน ปี่นอก ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ตะโพน กลองทัด ฉิ่ง ฉาบเล็ก ฉาบใหญ่ กรับ และโหม่ง
วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่
๓.) วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ วงดนตรีประเภทนี้เกิดการประสมวงครั้งแรกในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกอบด้วย ปี่ใน ปี่นอก ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้มเหล็ก ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ตะโพน กลองทัด ฉิ่ง ฉาบเล็ก ฉาบใหญ่ กรับ และโหม่ง
๑.๒ วงเครื่องสายไทย
วงเครื่องสายไทยเป็นวงดนตรีที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภทที่มีสายเป็นหลัก ส่วนเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆที่ประสมในวงเครื่องสาย นิยมใช้เครื่องดนตรีที่มีระดับเสียงที่มีความกลมกลืนสอดคล้องกับเครื่องดนตรีอื่นๆในวง แบ่งออกเป็น ๒ ชนิด ดังนี้
วงเครื่องสายเครื่องเดี่ยว
๑.) วงเครื่องสายเครื่องเดี่ยวหรือวงเครื่องสายวงเล็ก เครื่องดนตรีประกอบด้วยซอด้วง ๑ คัน ซออู้ ๑ คัน จะเข้ ๑ ตัว ขลุ่ยเพียงออ ๑ เลา โทน-รำมะนา ๑ สำรับ ฉิ่ง ๑ คู่ และฉาบเล็ก ๑ คู่
วงเครื่องสายเครื่องคู่
๒.) วงเครื่องสายเครื่องคู่ เครื่องดนตรีประกอบด้วย ซอด้วง ๒ คัน ซออู้ ๒ คัน จะเข้ ๒ ตัว ขลุ่ยเพียงออ ๑ เลา ขลุ่ยหลีบ ๑ เลา โทน-รำมะนา ๑ สำรับ ฉิ่ง ๑ คู่ ฉาบเล็ก ๑ คู่ กรับ ๑ คู่ และโหม่ง ๑ ใบ
๑.๓ วงมโหรี
วงมโหรีเป็นวงที่มีเครื่องดนตรีประสมวงครบทุกกลุ่ม คือ เครื่องดีด สี ตี และเป่า ลักษณะเด่นของวง
ดนตรีประเภทนี้ คือ ความกลมกลืนของระบบเสียงที่ใช้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีที่ถูกย่อสัดส่วน สำหรับฆ้องวงที่ประสมในวงดนตรีประเภทนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าฆ้องมโหรี การปรับลดขนาดเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีเพราะต้องการให้ระบบเสียงมีความดังที่เข้ากันได้กับเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย วงมโหรีมีการประสมวงและถือเป็นแบบแผนมาตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจำแนกออกเป็น ๓ ขนาด ดังนี้
วงมโหรีเครื่องเดี่ยว
๑.) วงมโหรีเครื่องเดี่ยว เครื่องดนตรีประกอบด้วย ซอสามสาย ๑ คัน ขลุ่ยเพียงออ ๑ เลา ระนาดเอก ๑ รางฆ้องวงใหญ่ ๑ วง จะเข้ ๑ ตัว ซอด้วง ๑ คัน ซออู้ ๑ คัน โทน-รำมะนา ๑ สำรับ ฉิ่ง ๑ คู่
วงมโหรีเครื่องคู่
    ๒.) วงมโหรีเครื่องคู่ เครื่องดนตรีประกอบด้วยซอสามสาย ๑ คัน ซอสามสายหลีบ ๑ คัน ขลุ่ยเพียงออ ๑ เลา ขลุ่ยหลีบ ๑ เลา ระนาดเอก ๑ ราง ระนาดทุ้ม ๑ ราง ฆ้องวงใหญ่ ๑ วง ฆ้องวงเล็ก ๑ วง จะเข้ ๒ ตัว ซอด้วง ๒ คัน ซออู้ ๒ คัน โทน-รำมะนา๑สำรับ ฉิ่ง๑คู่ ฉาบเล็ก๑คู่ กรับ๑คู่ โหม่ง๑ใบ
    วงมโหรีเครื่องใหญ
    ๓.) วงมโหรีเครื่องใหญ่ เครื่องดนตรีประกอบด้วยซอสามสาย ๑ คัน ซอสามสายหลีบ ๑ คัน ขลุ่ยเพียงออ ๑ เลา ขลุ่ยหลีบ ๑ เลา ระนาดเอกมโหรี ๑ ราง ระนาดทุ้มมโหรี ๑ ราง ระนาดเอกเหล็กมโหรี ๑ ราง ระนาดทุ้มเหล็กมโหรี ๑ ราง ฆ้องวงใหญ่ ๑ วง ฆ้องวงเล็ก ๑ วง จะเข้ ๒ ตัว ซอด้วง ๒ คัน ซออู้ ๒ คัน โทน-รำมะนา ๑ สำรับ ฉิ่ง ๑ คู่ ฉาบเล็ก ๑ คู่ กรับ ๑ คู่ โหม่ง ๑ ใบ

ดนตรีสากล


ดนตรีสากล เป็นดนตรีที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติตะวันตก มีการบันทึกเพลงเป็นสัญลักษณ์ ที่เรียกว่า โน้ตสากล ต่อมามีการพัฒนาและเป็นที่ยอมรับทั่วโลก มีการนำเพลงและเครื่องดนตรีจากต่างประเทศซึ่งเป็นที่นิยมกัน มาใช้ในประเทศ มีการใช้โน้ตสากล จังหวะเพลงที่เป็นสากล

เครื่องดนตรีสากล[แก้]

กีตาร์, กลองชุด, เบส, ไวโอลิน, ทรัมเป็ต, ออร์แกน, ฟลุต, อิเล็กโทน,เป็นต้น
ดูเพิ่มเติมที่ : เครื่องดนตรีสากล ดนตรีสากล

จังหวะสากล[แก้]

วอลท์, รุมบ้า, ร็อก, ดิสโก้, ชะชะช่า
ดูเพิ่มเติมที่ จังหวะสากล

วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

รูปภาพเมลโลโฟน



    1. ประวัติเครื่องดนตรีสากล
      ดนตรีก่อเกิด เพราะการได้ยินเสียงจากธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมรอบตัวของมนุษย์ มีการรับรู้ เลียนแบบ ศึกษาจังหวะ ระดับเสียงความดัง-เบา ความกลมกลืน
      และแตกต่างของเสียงแต่ละประเภท จากใกล้ตัวที่สุดคือชีพจรการเต้นของหัวใจ การเคลื่อนไหวร่างกายไปถึงเสียงจากธรรมชาติและ สัตว์นานาแตกต่างของเสียงแต่ละประเภท
      จากใกล้ตัวที่สุดคือชีพจรการเต้นของหัวใจ การเคลื่อนไหวร่างกายไปถึงเสียงจากธรรมชาติและสัตว์นานาดนตรีสากลหรือดนตรีตะวันตกมีพื้นฐานจากความมุ่งหวังไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า
      จากหลักปรัชญากรีกโบราณในราวช่วงปี 800 ก่อนคริสตกาลที่เน้นความสำคัญของการสร้างร่างกายให้แข็งแรงด้วยการเล่นกีฬา และงดงามของจิตใจด้วยศิลปะบทกวี ดนตรี การละคร
      และ ระบำรำฟ้อน เพื่อสร้างสรรค์ให้มนุษย์สมบูรณ์ ปี 585-479 ก่อนคริสตกาล ชาวกรีกชื่อ ปิธากอรัส คิดค้นทฤษฎีการเกิดเสียงขึ้นจากการคำนวณรอบการสั่นสะเทือน ของสายเสียง
      ได้ข้อสรุปว่า "ถ้าสายสั้นกว่าจะได้เสียงที่ สูงกว่า ถ้าสายยาวกว่าจะได้เสียงที่ ต่ำกว่า " วิชาความรู้ และ แนวคิดนี้กระจายแพร่หลาย ชื่อเสียงของ ปิธากอรัสเลื่องลือทั่วยุโรป
      ดนตรีสากลได้มีมีการจำแนกเครื่องดนตรี เป็น 4 ประเภท ดังนี้
      1 เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย
      String Instruments
      ไวโอลิน
      วิโอลา
      เชลโล
      ดับเบิลเบส
      กีตาร์
      ลูท
      ไลร์
      ฮาร์พ
      แมนโดลิน
      แบนโจ
      เกิดเสียงโดยการทำให้สายสั่นสะเทือน เกิดเสียงได้ทั้งการดีด และ การสีโดยใช้คันชัก สายของเครื่องดนตรีประเภทนี้ มีทั้งสายที่ทำมาจากเส้นลวด เส้นเอ็น หรือ เส้นไหม นำมาขึงให้ตึง ความดังของเสียงขึ้นอยู่กับขนาดรูปร่างเครื่องดนตรี และวัสดุที่นำมาใช้ทำเป็นลำตัวเครื่องดนตรี เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายมีหลายชนิด ได้แก่ ไวโอลิน วิโอลา เชลโล ดับเบิลเบส กีตาร์ ลูท ไลร์ ฮาร์พ แมนโดลิน แบนโจ
      ฟลุ้ต
      พิคโคโล
      รีคอร์ดเดอร
      ไฟฟ์
      บาสซูน
      โอโบ
      อิงลิซฮอร์น
      คลาลิเน็ต
      แซ็กโซโฟน
      2 เครื่องลมไม้
      Woodwind Instruments
      เครื่องดนตรีประเภทเครื่องลมไม้แบ่งอย่างกว้างๆ ได้ 2 ประเภทคือ ขลุ่ยและปี่ ถ้าเป็นประเภทขลุ่ยจะไม่มีลิ้น เป่าลมผ่านท่อในลักษณะของการผิว เช่น ฟลุ้ต พิคโคโล ถัาเป็นประเภทปี่ จะต้องเป่าลมผ่านลิ้น ซึ่งมีทั้งลิ้นคู่ เช่น บาสซูน โอโบ และ ลิ้นเดี่ยว เช่น คลาลิเน็ต แซ็กโซโฟน เป็นต้น
      3 เครื่องลมทองเหลือง
      Brass Instruments
      ทรัมเป็ต
      ฟลูเกิลฮอร์น
      ทรอมโบน
      ยูโฟเนียม
      ทูบา
      เครื่องดนตรีประเภทนี้ทำด้วยโลหะผสมหรือโลหะทองเหลือง เกิดเสียงโดยการเป่าลมผ่านท่อโลหะ ความสั้นยาวของท่อโลหะทำให้ระดับเสียงเปลี่ยนไป การเปลี่ยนความสั้นยาวของท่อโลหะจะใช้ลูกสูบเป็นตัวบังคับ โดยทั่วไปมีเครื่องละ 3 ลูกสูบ เช่น คอร์เน็ต ทรัมเป็ต ฟลูเกิลฮอร์น เป็นต้น เครื่องดนตรีประเภทนี้มี 4 ลูกสูบก็ได้ เครื่องที่มี 4 ลูกสูบสามารถทำเสียงได้มาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นระดับเสียงที่ต่ำกว่าปกติ เช่น ทูบา ยูโฟเนียม เป็นต้น เครื่องดนตรีบางชนิดจะใช้การชักท่อลม เข้าออก เพื่อเปลี่ยนความสั้นยาวของท่อความต้องการ เช่น ทรอมโบน ลักษณะเด่นของเครื่องดนตรีประเภทนี้ มีปากลำโพงสำหรับใช้ขยายเสียงให้มีความดังเจิดจ้า เรามักเรียกเครื่องดนตรีประเภทนี้รวมๆกันว่าแตร ขนาดของปากลำโพงขึ้นอยู่กับขนาดของเครื่องดนตรีนั้นๆ ปากเป่าเครื่องดนตรีประเภทนี้ทำด้วยกรวยโลหะเรียกว่า กำพวด ( Monthpiece) ต่อเข้ากับท่อลมของเครื่องดนตรีนั้นๆ
      คอร์เน็ต
      บิวเกิล
      เมลโลโฟน
      บาริโทน
      ซูซ่าโฟน 




    เมลโลโฟน(Mellophone)
    เมลโลโฟนคือเครื่องดนตรีประเภทเครื่องลมทองเหลือง เสียงคล้ายกับเสียงของฮอร์น นิยมนำมาผสมในวงแตรวงและวงโยธวาทิต บรรเลงแนวเสียงเดียวกันกับฮอร์น ตัวเครื่องมีรูปร่างลักษณะ 3 แบบ คือ
    Straight Mellophone ลักษณะคล้ายกับทรัมเป็ต ท่อลมจะขดเป็นวงกลม การจับถือจะเหมือนกับทรัมเป็ต ตัวเครื่องใหญ่กว่า ปากลำโพงบานมากกว่าทรัมเป็ต
    Classic Mellophone ลักษณะโดยทั่วไปเหมือนกับ Straight Mellophone แต่ปากลำโพงจะทำให้โค้งงอตามท่อลม ลักษณะเหมือนกับเฟร็นฮอร์น ลักษณะการจับถือเครื่องเหมือนกับเฟร็นฮอร์น นิยมนำมาใช้ในการผสมวงแบบนั่งบรรเลง
    Marching Mellophone
    มีรูปร่างลักษณะเหมือนกับ Straight Mellophone มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขดของท่อลมให้เหมือนกับทรัมเป็ต ทำให้ปากลำโพงไม่ยื่นยาวมากเกินไป ทำให้เกิดความสมดุลในการจับถือมากขึ้น
    เหมาะกับการนำไปผสมในวงดนตรีที่เกี่ยวกับการเดินบรรเลง การแปรแถว แปรขบวน




    เครื่องดนตรีอื่นอื่นมีอีกหลายชนิด






    ประเภทเครื่องดนตรีสากล











     คุณลักษณะของเสียงที่เกิดจากเครื่องดนตรีแต่ละชนิด ย่อมแตกต่างกันด้วยองค์ประกอบหลายประการ เครื่องดนตรีแต่ละชนิดมีบทบาทหน้าที่แตกต่างกันไป การเรียนรู้ให้เข้าใจเรื่องเครื่องดนตรีแต่ละชนิดจะทำให้สามารถจำแนกเครื่องดนตรีได้ถูกต้อง และเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของเครื่องดนตรีแต่ละชนิดที่นำไปประสมวงเป็นวงดนตรีประเภทต่างๆ
    เมื่อดนตรีของชาติตะวันตกที่คิดค้นมาจากทวีปยุโรป และอเมริกา ได้รับการยอมรับมีการนำไปใช้กันอย่างแพร่หลาย ดนตรีตะวันตกจึงกลายเป็นดนตรี ของคนทุกชาติทุกภาษา ถือได้ว่า เป็นของสากล จึงเกิดคำว่า “ดนตรีสากล” เครื่องดนตรีตะวันตกก็เช่นเดียวกัน เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ชาติตะวันตกได้คิดค้นขึ้นมา เครื่องดนตรีมีอยู่หลายแบบแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรม ความนิยมของแต่ละท้องถิ่น แต่ละชนชาติ และมีการนำไปใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก เป็นที่ยอมรับของคนทุกชาติ ทุกภาษา ถือว่าเป็นของสากลเช่นกัน จึงเกิดคำว่า “เครื่องดนตรีสากล” ซึ่งหมายถึง เครื่องดนตรีที่ถือกำเนิดมาจากชาติตะวันตกนั่นเอง
    เครื่องดนตรีคือสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อกำเนิดเสียงชนิดต่างๆ ตามที่ต้องการ เสียงของเครื่องดนตรีแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันออกไป ทำให้เกิดความหลากหลายของเสียง บทเพลงมีสีสัน มีชีวิตชีวา เสริมสร้างอารมณ์จากเสียงของเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ เครื่องดนตรีสากลในปัจจุบันสามารถจำแนกหรือจัดเป็นประเภทใหญ่ๆ ตามลักษณะของเสียงที่คล้ายคลึงกัน และลักษณะของเครื่องดนตรี แบ่งออกเป็น 5 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
    1. เครื่องสาย (String Instruments)
    เครื่องสาย
    เครื่อง ดนตรีประเภทเครื่องสาย สายของเครื่องดนตรีประเภทนี้มีทั้งสายที่ทำมาจากเส้นลวด เส้นเอ็น เส้นไหม ไนล่อน หรือโลหะอย่างใดอย่างหนึ่ง นำมาขึงให้ตึง ความดังของเสียงขึ้นอยู่กับรูปร่าง และวัสดุที่นำมาใช้ทำกะโหลกเครื่องดนตรี กะโหลกเครื่องดนตรีทำหน้าที่เป็นตัวขยายเสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของ สาย เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายที่นำมาใช้ในการประสมวงดนตรีมีดังนี้
    ประเภทเครื่องสี ได้แก่ ไวโอลิน วิโอลา เชลโล ดับเบิลเบส


    ประเภทเครื่องดีด ได้แก่ ฮาร์พ ไลร์ ลูท แบนโจ กีต้าร์ แมนโดลิน
    ประเภทเป่าลมผ่านลิ้น ได้แก่ คลาริเน็ต แซกโซโฟน
    ประเภทเป่าลมผ่านลิ้น ได้แก่ คลาริเน็ต แซกโซโฟน
    ประเภทเครื่องดนตรีที่มีระดับเสียงไม่แน่นอน (Indefinite Pitch Instruments)
    ประเภทเครื่องดนตรีที่มีระดับเสียงไม่แน่นอน (Indefinite Pitch Instruments)


    2. เครื่องลมไม้ (Woodwind Instruments)
    เครื่องลมไม้
    เครื่องดนตรี ประเภทนี้ เกิดเสียงโดยการเป่าลมผ่านช่องแคบๆ ให้เข้าไปภายในท่อ ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวขยายเสียงให้ดังขึ้น คุณลักษณะของเสียงที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกัน ตามขนาดของท่อ ความสั้นยาวของท่อ และความแรงของลมที่เป่าเข้าไปภายในท่อ
    เครื่องดนตรี แต่ละชนิดยังมีขนาดต่างๆ กันออกไป เครื่องดนตรีขนาดเล็กจะให้ระดับเสียงสูง เครื่องดนตรีขนาดใหญ่จะให้เสียงต่ำ ผู้บรรเลงจะต้องเลือกใช้เครื่องดนตรีให้เหมาะสมกับบทเพลง ตามที่ผู้ประพันธ์เพลงได้กำหนดไว้ ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีดังต่อไปนี้
    ประเภทเป่าลมผ่านช่องลม ได้แก่ เรคอร์เดอร์ ปิคโคโล ฟลูท
    3. เครื่องลมทองเหลือง (Brass Instruments)
    เครื่องลมทองเหลือง
    เครื่อง ดนตรีประเภทนี้มักทำด้วยโลหะผสมหรือโลหะทองเหลือง เสียงของเครื่องดนตรีประเภทนี้เกิดจากการเป่าผ่านท่อโลหะ ความสั้นยาวของท่อโลหะทำให้ระดับเสียงเปลี่ยนไป การเปลี่ยนความสั้นยาวของท่อโลหะจะใช้ลูกสูบเป็นตัวบังคับ
    เครื่องดนตรี บางชนิดจะใช้การชักท่อลมเข้าออก เปลี่ยนความสั้นยาวของท่อตามความต้องการ ลักษณะเด่นของเครื่องดนตรีประเภทนี้ มีปากลำโพงสำหรับใช้ขยายเสียงให้มีความดังเจิดจ้า เรามักเรียกเครื่องดนตรีประเภทนี้รวมๆ กันว่า “แตร” ขนาดของปากลำโพงขึ้นอยู่กับขนาดของเครื่องดนตรี ปากเป่าของเครื่องดนตรีประเภทนี้เรียกว่า “กำพวด” (Mouthpiece) ทำด้วยท่อโลหะ ทรงกรวย ด้านปากเป่ามีลักษณะบานออก คล้ายรูปกรวย มีขนาดต่างๆ กัน ตามขนาดของเครื่องดนตรีนั้นๆ ปลายท่ออีกด้านหนึ่งของกำพวด ต่อเข้ากับท่อลมของเครื่องดนตรี
    เครื่องดนตรีสากลประเภทเครื่องลมทองเหลือง ได้แก่ คอร์เน็ต ทรัมเป็ต บิวเกิล ฟลูเกิลฮอร์น เฟรนช์ฮอร์น ทรอมโบน บาริโทน ยูโฟเนียม ทูบา ซูซาโฟน
    4. เครื่องลิ่มนิ้ว (Keyboard Instruments)
    เครื่องลิ่มนิ้ว
    เครื่องดนตรีในยุคนี้ มักนิยมเรียกทับศัพท์ในภาษาอังกฤษว่า “เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ด” ลักษณะเด่นของเครื่องดนตรีที่อยู่ในกลุ่มนี้ก็คือ มีลิ่มนิ้วสำหรับกด เพื่อเปลี่ยนระดับเสียงดนตรี ลิ่มนิ้วสำหรับกดนั้นนิยมเรียกว่า “คีย์” (Key) เครื่องดนตรีแต่ละชนิดมีจำนวนคีย์ไม่เท่ากัน โดยปกติสีของคีย์เป็นขาวหรือดำ คีย์สีดำโผล่ขึ้นมากกว่าคีย์สีขาว
    การเกิดเสียง ของเครื่องดนตรีในกลุ่มนี้มีหลายลักษณะ เปียโน ฮาร์ปซิคอร์ด คลาวิคอร์ด เกิดเสียง โดยการกดคีย์ที่ต้องการ แล้วคีย์นั้นจะส่งแรงไปที่กลไกต่างๆ ภายในเครื่องเพื่อที่จะทำให้สายโลหะที่ขึงตึงสั่นสะเทือน ทำให้เกิดเสียงให้ดังขึ้น เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดบางชนิดให้ลมผ่านไปยังลิ้นโลหะให้สั่นสะเทือน ทำให้เกิดเสียงดังขึ้น เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดบางชนิดให้ลมผ่านไปยังลิ้นโลหะให้สั่นสะเทือนทำให้เกิดเสียง ในปัจจุบันไม่นิยมใช้แล้วจะมีบางเป็นบางโอกาส
    ในปัจจุบัน เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดที่เกิดเสียงโดยใช้วงจรอิเล็คทรอนิกส์ ไดรับความนิยมมาก เพราะสามารถเลียนแบบเสียงเครื่องดนตรีต่างๆ ได้หลายชนิด ซึ่งได้พัฒนามาจากออร์แกนไฟฟ้านั่นเอง มีชื่อเรียกหลายชื่อ แต่ละชื่อมีลักษณะแตกต่างกันออกไป เช่น เครื่องสตริง (String Machine) คือ เครื่องประเภทคีย์บอร์ด ทีเลียนเสียงเครื่องดนตรีในตระกูลไวโอลินทุกชนิด อิเล็คโทน คือ เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดที่มีจังหวะในตัว สามารถบรรเลงเพลงต่างๆ ได้ด้วยนักดนตรีเพียงคนเดียว
    ในยุคของ คอมพิวเตอร์ เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดได้วิวัฒนาการไปมาก เสียงต่างๆ มีมากขึ้น นอกจากเสียงดนตรีแล้วยังมีเสียงเอฟเฟ็คต์ (Effect) ต่างๆ ให้เลือกใช้มาก เสียงต่างๆ เหล่านี้เป็นเสียงที่สังเคราะห์ขึ้นมาด้วยระบบ อิเล็คทรอนิกส์ ดังนั้นเครื่องดนตรีประเภทนี้จึงถูกเรียกว่า “ซินธีไซเซอร์” (Synthesizer)
    เครื่องดนตรีที่จัดอยู่ในกลุ่มเครื่องลิ่มนิ้ว ได้แก่ เปียโน ออร์แกน ฮาร์พซิคอร์ด คลาวิคอร์ด แอคคอร์เดียน อิเลคโทน

    5. เครื่องกระทบ (Percussion Instruments)
    เครื่องกระทบ
    เครื่อง ดนตรีประเภทเครื่องกระทบ ได้แก่ เครื่องดนตรีที่เกิดเสียงจากการตี การสั่น การเขย่า การเคาะ หรือการขูด การตีอาจจะใช้ไม้ตีหรืออาจจะใช้สิ่งหนึ่งกระทบเข้ากับอีกสิ่งหนึ่งเพื่อทำ ให้เกิดเสียง เครื่องกระทบประกอบขึ้นด้วยวัสดุที่เป็นของแข็งหลายชนิด เช่น โลหะ ไม้ หรือแผ่นหนังขึงตึง แบ่งออกเป็น2ประเภท ได้แก่
    เครื่องดนตรีที่มีระดับเสียงแน่นอน (Definite Pitch Instruments)
    เครื่องดนตรีกลุ่มนี้มีระดับเสียงสูงต่ำเหมือนกับเครื่องดนตรีประเภทอื่น เกิดเสียงโดยการตีกระทบ ส่วนใหญ่ตีกระทบเป็นทำนองเพลงได้
    ไซโลโฟน ไวบราโฟน มาริมบา ระฆังราว กลองทิมปานี
    เครื่องดนตรีกลุ่มนี้ไม่มีระดับเสียงที่แน่นอน หน้าที่สำคัญคือ ใช้เป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ เกิดเสียงโดยการตี สั่น เขย่า เคาะ หรือขูด
    กลองใหญ่ กลองแต๊ก ฉาบ กิ๋ง แทมบูริน เคาเบลล์ คาบาซา บองโก คองการ์ กลองชุด



    จัดทำโดย

    ด.ญ. กัญธมาศ  เล็กบรรจง   ชั้น   ม1/7  เลขที่20


    รูปภาพของ Lurmaporn Ubonsatit